1. สภาพแวดล้อมในการทำงาน
สถานที่ทำงาน
คุณหมอส่วนใหญ่จะทำงานในโรงพยาบาลซึ่งแบ่งออกเป็นแผนกต่างๆ แล้วแต่ว่าจะทำงานในส่วนไหน ในกรณีที่เป็นการตรวจโรคทั่วไปการทำงานของหมอจะอยู่ในห้อง มีโต๊ะทำงานที่ใช้สำหรับตรวจและพูดคุยกับคนไข้ มีพยาบาลและผู้ช่วยคอยเป็นลูกมือในการทำงาน บรรยากาศก็จะเป็นการพบปะและสอบถามข้อมูลการรักษาคนไข้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละราย มีการทำงานที่มีการพูดคุยเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีและไม่ทำให้เกิดสภาวะกดดันในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อทราบผลว่าผู้ไข้ป่วยเป็นอะไรก็จะส่งเรื่องไปตรวจยังแผนกต่างๆตามการรักษา ซึ่งห้องทำงานของคุณหมอในแผนกต่างๆก็จะไม่เหมือนกัน ซึ่งแผนกต่างๆในโรงพยาบาลสามารถแบ่งได้ดังนี้
- อายุรแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุของบุคคลศาสตร์
- สูตินรีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา
- ศัลยแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม
- ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยกรรมกระดูกและข้อ)
- จักษุแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา
- จิตแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์
- แพทย์โสตศอนาสิก - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตศอนาสิกวิทยา
- พยาธิแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน (พยาธิวิทยา)
- รังสีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา
- วิสัญญีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสัญญีวิทยา
- กุมารแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์
- แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชปฏิบัติครอบครัว
- แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู
- แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
สภาพการทำงาน
สภาพการทำงานของคุณหมอในโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลรัฐบาล และโรงพยาบาลต่างจังหวัด จะมีสภาพการทำงานที่แตกต่างกัน
- โรงพยาบาลรัฐบาล คนไข้ค่อนข้างเยอะทำให้มีเวลาในการรักษา หรือ ดูแลคนไข้ในแต่ละรายค่อนข้างน้อยเพื่อให้การรักษามีความทั่วถึง จึงเห็นได้ว่าแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐบาลจะมีภาระหน้าที่รับผิดชอบเยอะ และได้แสดงศักยภาพทางการทำงานอย่างเต็มที่ มีการแบ่งหน้าที่ในการรักษาอย่างชัดเจนตามแผนกต่างๆ งบประมาณการทำงานต่างๆจะขึ้นอยู่กับรัฐบาล
- โรงพยาบาลเอกชน คนไข้น้อยกว่าเนื่องจากค่าใช้จ่ายในแต่ละครั้งค่อนข้างสูง มีการแบ่งหน้าที่ในการรักษาอย่างชัดเจนเช่นกัน จะมีเรื่องงานบริการเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะต้องดูแลคนไข้แต่ละรายอย่างใกล้ชิด มีเวลาอยู่กันคนไข้ค่อนข้างมาก จึงต้องมีจิตวิทยาในการพูดคุยกับคนไข้และญาติ ยกตัวอย่างเช่น หมอเด็กนอกเหนือจากการรักษาคนไข้แล้ว ยังต้องมีจิตวิทยาในการพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กให้เข้าใจในเรื่องการรักษาด้วย
- โรงพยาบาลต่างจังหวัด ส่วนใหญ่มีหมอรักษาการน้อย โดยเฉพาะต่างจังหวัดในอำเภอเล็กๆหรือห่างไกล คุณหมอหนึ่งท่านจะต้องรักษาคนไข้ได้ในหลากหลายอาการ และอาจมีหน้าที่นอกเหนือจากการเป็นหมอคือดูแลสิ่งที่ขาดเหลือในโรงพยาบาล ยกตัวอย่างเช่น แพทย์หญิง อนงค์พร ต้องไปรักษาการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล มีหมอประจำการเพียงสองคน ทำให้ต้องมีการผลัดกันเข้าเวรคนล่ะ 15 วันต่อเดือน และโรงพยาบาลแห่งนั้นยังไม่มีโรงอาหารเป็นสัดส่วน จึงต้องทำงบประมาณเพื่อสร้างโรงอาหารให้กับทางโรงพยาบาล การทำงานจะมีความท้าทายและต้องสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดี เพราะจะมีปัญหาในเรื่องของเครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ คนไข้ที่อาการหนักเกินกว่าจะรักษาในโรงพยาบาลได้ ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี
ประเภทของลูกค้า
ประเภทของคนไข้ที่เจอจะแตกต่างกันระหว่าง โรงพยาบาลรัฐบาล โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลต่างจังหวัด
- โรงพยาบาลรัฐบาล จะได้พบกับคนไข้ที่หลากหลายระดับ ตั้งแต่ยากจนที่สุด ไปจนถึงร่ำรวยมีฐานะที่สุด แต่ต้องมีการให้บริการทางการแพทย์ที่เท่าเทียมกันทุกคน จำนวนคนไข้ในแต่ละวันมีปริมาณที่มาก คนไข้จะต้องรอคิวเพื่อรับการรักษาเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นคุณหมอต้องเป็นคนใจเย็นไม่มีอารมณ์ด้านลบในระหว่างการทำงาน
- โรงพยาบาลเอกชน คนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีฐานะทางการเงินตั้งแต่ระดับปานกลางขึ้นไปจนถึงระดับสูง นอกเหนือจากจะต้องรักษาดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดแล้วยังต้องมีการให้บริการที่ดีและการเอาใจใส่กับทั้งคนไข้และญาติของคนไข้
- โรงพยาบาลต่างจังหวัด คนไข้ในโรงพยาบาลต่างจังหวัดจะค่อนข้างมีความเกรงใจและเห็นความสำคัญของคุณหมอมาก มีความเป็นกันเองและหยิบยื่นน้ำใจต่างๆให้คุณหมอ เนื่องจากมีหมอน้อยทำให้คุณหมอต้องทำงานหนักในหลายๆส่วน ทำให้บรรยากาศการทำงานระหว่างคุณหมอกับคนไข้ไม่ตึงเครียด มีความใกล้ชิดและสนิทสนมกัน
ลูกค้าของคุณหมอจากทั้งโรงพยาบาลรัฐบาล โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลต่างจังหวัด คือคนไข้ที่คุณหมอจะต้องให้การรักษาอย่างเท่าเทียมกันนอกจากนั้นยังรวมไปถึงญาติของคนไข้ที่คุณหมอต้องเอาใจใส่ในเรื่องของสภาพจิตใจ เพราะคนไข้บางรายอาจป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย หรือ ร้ายแรง สภาพจิตรใจของญาติผู้ป่วยก็มีผลต่ออาการของคนไข้เช่นกัน
อาชีพนี้ต้องทำงานร่วมกับอาชีพ/ตำแหน่งงานใดบ้าง
คุณหมอจะมีการส่งต่องานระหว่างหมอด้วยกันเองตามอาการของโรค แพทย์ที่ตรวจโรคทั่วไปจะส่งต่อคนไข้ไปที่แพทย์เฉพาะทางของโรคนั้นๆ ระดับการส่งต่องานของคุณหมอตามความยากง่ายของอาการก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การทำงานของคุณหมอด้วย นอกจากนั้นยังต้องทำงานร่วมกับ แพทย์ผู้ช่วย พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล หากมีการผ่าตัด จะต้องมีหมอดมยา หากต้องส่งชิ้นเนื้อไปตรวจจะต้องส่งไปที่ ทีมวิจัย จะมีการส่งต่องานเสมอแล้วแต่ว่าต้องทำขั้นตอนอะไรต่อ ซึ่งมีมากมายตามอาการของโรคนั้นๆ
2. คุณลักษณะของงาน
เป้าหมายของงาน / โจทย์ใหญ่ของงาน /ความท้าทายของงาน
แพทย์แบ่งออกเป็นหลากหลายแขนงมากตามอาการของโรค ซึ่งทุกแขนงมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และมีจุดประสงค์หลักเดียวกัน คือการได้ใช้ความรู้ความสามารถรักษาคนไช้ให้หายขาดหรืออาการดีขึ้นจากเดิม โดยผ่านกระบวนการวินิจฉัยและหาหนทางการรักษา ซึ่งสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการรักษาชีวิตของคนไข้ให้ได้นานที่สุดไม่ว่าจะวิธีทางการแพทย์หรือในเรื่องของกำลังใจที่ให้คนไช้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
Work process
ขั้นตอนการทำงานของอาชีพหมอคือ
- พูดคุยเพื่อสอบถามอาการของคนไข้ มีการตรวจเบื้องต้นว่าป่วยเป็นโรคอะไร
- เมื่อทราบอาการแล้ว หากเป็นอาการป่วยที่สามารถรักษาได้ทันที คุณหมอจะจ่ายยา และบอกถึงวิธีการที่คนไข้จะดูแลตัวเองหลังจากกลับบ้าน แต่หากเป็นอาการที่ต้องรักษาต่อก็จะส่งต่องานไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตามอาการนั้นๆ
- หากเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญ ในตอนเช้าก็เดินจะตรวจดูอาการของคนไข้ในความดูแลทุกๆคนว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
- นำผลที่ได้มาวินิจฉัยเพื่อจะดำเนินการรักษาต่อในขั้นตอนต่อไป ซึ่งคนไข้บางรายอาจใช้เวลารักษานานหลายปีกว่าจะหายขาด
- นอกจากนี้ก็จะมีการแบ่งตามหน้าที่ความรับผิดชอบของคุณหมอตามแผนกต่างๆซึ่งมีการทำงานที่ไม่เหมือนกัน คุณหมอที่มีหน้าที่ตรวจชิ้นเนื้อ ฉายรังสี ผ่าตัด จ่ายยา การทำงานในแต่ละวันก็จะขึ้นอยู่กับว่าเป็นคุณหมอแผนกไหน
- ยังมีในเรื่องของการเข้าเวร ที่ต้องทำงานเกินเวลาจากเดิม และ เหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจถูกเรียกตัวเข้ามาปฏิบัติหน้าที่นอกเวลางาน ซึ่งคุณหมอต้องมีความพร้อมเสมอ
Career path/ความก้าวหน้าของสายอาชีพ
ความก้าวหน้าของอาชีพหมอจะมาจากอายุการทำงาน เพราะจะเป็นระบบเดียวกับข้าราชกาล คือมีการเลื่อนขั้นตาม ซี เมื่อมีอายุการทำงานและประสบการณ์มากขึ้น ตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบก็จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถรักษาโรครักษาและวินิจฉัยอาการที่ยากของคนไข้ได้ นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของวิชาการ คือ การเรียนต่อในระดับปริญญาโท และ เอก เพื่อเพิ่มเติมความรู้ในเชิงลึกของการรักษาในแขนงนั้นๆ
บุคลิก นิสัยของคนที่เหมาะจะทำอาชีพนี้
- คุณหมอต้องเป็นคนใจเย็นเพราะต้องทำงานกับคนไข้ที่มีทั้งความกังวลใจไม่สบายใจ คุณหมอจำเป็นต้องมีวิธีการพูดคุยและให้การรักษาอย่างเข้าใจมากที่สุด
- มีน้ำใจเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีจิตวิทยาในกรรักษาและการพูดเพื่อหาทางออกและสร้างความสบายใจให้กับคนไข้
- เป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา เพราะมีโรคใหม่ๆ เทคโนโลยีและการรักษาใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา
- มีทักษะความรู้ที่ดีสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีมาก เพราะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดอยู่ตลอดเวลา เช่นคนไข้ช๊อค การผ่าตัดมีการผิดพลาด เลือดไหลไม่หยุด ต้องมีคนที่มีสติและคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
- ต้องมีความกล้าในทุกๆอย่าง กล้าตัดสินใจ กล้าลงมือทำ ไม่กลัวเข็ม ไม่กลัวเลือด อุปกรณ์การแพทย์ต่างๆหรืออวัยวะต่างๆในร่างกาย เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องพบเจอในทุกๆวัน
3. คุณค่าและผลตอบแทน
ผลตอบแทน
ในเรื่องของระบบเงินเดือนนั้นหากเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ จะมีระดับเงินเดือนตามขั้นโดยข้าราชการพลเรือนมีระดับขั้นตั้งแต่ ซี 1 ถึง ซี 11 ซึ่งแต่ละระดับก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน โดยแพทย์เริ่มต้นจะได้รับบรรจุเป็น ซี 4 ซึ่งมีขั้นเงินเดือน 8,190 บาท ในแต่ละซี จะมีขั้นเงินเดือนหลายๆขั้นเป็น 10 ขั้น เช่น ซี 1 มีขึ้นเงินเดือนต่ำสุดคือ 4,100 บาท สูงสุดคือ 7,260 บาท ซี 11 ขั้นต่ำสุดคือ 29,690บาท สูงสุดคือ 57,190 บาท ซึ่งตัวเลขต่างๆเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ขึ้นอยู่กับระเบียบของก.พ. หรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำหรับคุณหมอถ้าไม่มีปัญหาอะไรทุกๆปีก็จะได้เลื่อนขึ้นเงินเดือน 1 ขั้น หรือ 2 ขั้นถ้ามีความสามารถ นอกจะนี้ยังมีการเลื่อนซีด้วย บรรจุครั้งแรกเป็นซี 4 แต่เป็นขั้นควบคือควบซี 5 และซี 6 ด้วย ถ้างทำงานครบ 2 ปีเต็ม จะถูกเลื่อนให้เป็นซี 5 โดยอัตโนมัติและถ้าทำงานต่อไปอีก 4 ปีก็จะได้เลื่อนไปเป็นซี 6 เห็นได้ว่าจะเลื่อนตำแหน่งและฐานเงินเดือนขึ้นไปเรื่อยๆตามอายุการทำงาน
คุณค่าของอาชีพนี้ต่อคนรอบข้างและสังคม
อาชีพหมอกำเนิดขึ้นเป็นวิชาชีพแรกๆและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นการเกิด แก่ เจ็บ และ ตาย ต่างต้องอาศัยความรู้ความสามารถทางการแพทย์ทั้งสิ้นและวิชาชีพหมอก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆทั้งในเรื่องความรู้ความสามารถ เทคโนโลยีทางการแพทย์ การค้นคว้าวิธีการรักษาใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยหายขาดจากอาการ เจ็บน้อยลง และย่อระยะเวลาในการรักษาให้สั้นลง วิธีการต่างๆก็เพื่อให้คนในสังคมไม่ทุกข์จากการมีโรคภัยไข้เจ็บ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติจากการได้รับการรักษา โรคภัยเกิดขึ้นได้ทุกวันและเกิดขึ้นได้กับทุกคน อาชีพหมอจึงถือว่าเป็นอาชีพที่มีความสำคัญต่อสังคมเป็นอย่างมาก
4. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ
วิชาที่จะเรียนในคณะแพทย์ศาสตร์นั้น มีการเรียนการสอนที่แตกต่างกันตามสถาบัน แต่มีวิชาหลักที่เหมือนกันนั้นคือ ปี 1-3 เรียน Basic science และ Basic medical science
Basic science คือเคมี ชีวะ ฟิสิกส์
Basic medical science เป็นวิชาแพทย์
Basic medical science เป็นวิชาแพทย์
- behavior sci เป็นวิชาการจัดการ จิตวิตยา การวิจัย การเข้าใจคนไข้
- anatomy กายวิภาค เป็นสิ่งที่จับต้องได้ทั้งหมด
- physiology เป็นการทำงานของร่างกาย
- pathology การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ทำให้เกิดโรค
- phamacology เรื่องของยาหลักการ การออกฤทธิ์ กลไล ฯลฯ
ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะแบ่งแยกไปตามระบบต่างๆของร่างกาย
- basic sci เกี่ยวกับเชื้อโรค กลไกการเกิด
- Integument ระบบปกคลุมร่างกาย เช่น ผิว ผม เล็บ
- locomotive ระบบเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ได้แก่กระดูก กล้ามเนื้อ,,,,
- cardiovascular ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- respi การหายใจ
- gastro-intestinal ทางเดินอาหาร
- KUB ทางเดินปัสสาวะ
- reproductive การสืบพันธ์
- neurology ระบบประสาท
ปี 4-5 จะเป็น clinical skill คือการเรียนรู้การทำงานจริง และการฝึกกับผู้ป่วยจริง
จะแบ่งออกเป็นแผนกต่างๆดังนั้น
- OB-gyne สูติ-นรีเวช
- surgery การผ่าตัด
- internal medicine การรักษาโดยการใช้ยา
- pediatric เด็ก
- orthopedics กระดูกและข้อ
- ophthalmology ตา
- ENT หู คอ จมูก
- Emergency ฉุกเฉิน
- Anas ดมยาสลบ
- commed-fammed การดูแลแบบองค์รวม การทำวิจัย
- psychiatric จิตเวช
- rehabilitation กายภาพบำบัด
ปีที่ 6 เป็นการเริ่มทำงานจริง ภายใต้การควบคุมก็จะวนไปหลายหลายส่วนหลายๆโรงพยาบาล ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด อาทิตย์ละ 7 วัน วันใหนอยู่เวรก็ต้องอยู่บนโรงบาล 24 ชั่วโมงวันรุ่งขึ้นก็ทำงานต่อ แต่เป็นชั้นปีที่สนุกที่สุดเพราะได้ลงมือปฏิบัติจริง
ซึ่งการเรียนตามหลักสูตรทั้งหมดนี้นอกจากจะต้องมีความถนัดทางด้านวิชาวิทยาศาสตร์ และต้องเรียนสาย วิทย์ – คณิต ในชั้นมัธยมปลายแล้ว ยังต้องมีความชอบและสนใจในวิชาย่อยต่างๆด้วย เพราะเนื้อหาการเรียนค่อนข้างเยอะมีการท่องจำ ต้องมีวินัยและความขยันอย่างมากในการเรียน ซึ่งคุณหมอจะเรียนแพทย์ทั่วไป 6 ปี และ แยกเป็นแพทย์เฉพาะทางอีก 3 ปี
5. เครื่องมือที่ใช้ในอาชีพนั้น
คุณหมอแต่ละคนจะมีเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาโรคแตกต่างกันตามอาการของโรค แต่จะมีสเตตโตสโสป(Stethoscope) หรือ หูฟัง ที่มีไว้สำหรับฟังเสียงผิดปกติในร่างกาย โดยเฉพาะเสียงการเต้นของหัวใจพกไว้ เพื่อใช้ในการตรวจอากาศเบื้องต้นของโรค เป็นเครื่องมือเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของคุณหมอที่คุณหมอทุกคนจะขาดไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น