วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560

การสอบกสพท.

กสพท. ที่ได้ยินกันคุ้นหูหรือเรียกจนติดปาก คือชื่อย่อ กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของคณะแพทยศาสตร์ 13 สถาบัน คณะทันตแพทยศาสตร์ 7 สถาบัน และคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ 6 สถาบัน ซึ่งการสอบนี้มักจะเรียนกันโดยทั่วไปว่า รับตรงแพทย์ กสพท.
สาเหตุที่สนาม กสพท. มีความสำคัญอย่างมากนั่นก็เพราะว่าคณะแพทยศาสตร์จะไม่มีการเปิดรับในระบบแอดมิชชัน ขณะเดียวกันจำนวนเปิดรับผ่านรับตรง กสพท. ก็มีสัดส่วนที่สูง โดยขอหยิบยกข้อมูลปี 58-59 มาให้ดูกันค่ะ
ตารางจำนวนรับผ่านระบบ กสพท. (ข้อมูลปี 58- 59)
การสอบ กสพท. ปีจำนวนรับ
กลุ่มแพทย์25562557255825592560
แพทยศาสตร์1191121512081198?
ทันตแพทยศาสตร์230260279274?
สัตวแพทยศาสตร์120?
รวม1421147514871592?
เห็นได้ว่าจำนวนที่เปิดรับคณะแพทยศาสตร์จะอยู่ในกรอบ 1191 – 1215 ที่นั่ง ถือว่ามีจำนวนที่สูง คณะทันตแพทย์ก็จะโดนขึ้นมาหลัก 270 ที่นั่ง ส่วนคณะสัตวแพทยศาสตร์เพิ่งเริ่มเข้า กสพท. เมื่อปี 59 แต่จากตารางที่แสดงมานั้นก็พอจะทำให้เราตระหนักได้ทันทีว่าสนามนี้สำคัญกับว่าที่แพทย์จริงๆ
อย่างไรก็ตามเงื่อนไขการสมัครสอบ กสพท. มีข้อที่เป็นไฮไลท์สำคัญคือ
  1. เด็กศิลป์ สามารถสอบกสพท. ในกลุ่มแพทยศาสตร์ได้ (ทันตะฯ กับ สัตวแพทย์ ปี 59 เด็กศิลป์ยังสอบแข่งขันด้วยไม่ได้ … ต้องรอเช็คข้อมูล กสพทปี 60 ให้ดี)
  2. เด็กซิ่ว … ถ้ายังเรียนอยู่ปี 1 ก็สมัครสอบได้ ไม่ต้องลาออก
  3. ไม่ใช้ GPAX หรือ เกรดเฉลี่ย ในการคำนวณคะแนน โดยจะวัดจากการสอบความถนัดแพทย์และ การสอบ 7 วิชาสามัญ ดังนั้นใครที่เกรดแย่ๆ ยังกลับตัวกลับใจทัน สนามนี้เขาให้โอกาสจริงๆ
  1. สมัครปุ๊บ ได้รับสิทธิ์จัด 4 อันดับปั๊บ น้องจะต้องเลือก 4 อันดับ คณะใดจากสถาบันใดก็ได้โดยที่ยังไม่เห็นคะแนนสอบของตนเอง เพราะฉะนั้นวางแผนการเลือกให้เหมาะคือสิ่งสำคัญเลยนะคะ
สอบ กสพท. ใช้คะแนนกี่ส่วน แต่ละส่วนสอบอย่างไรบ้าง
          ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญมากทั้งการทำความเข้าใจ การทบทวนหนังสือ การลำดับความสำคัญในการเตรียมตัวสอบ เพราะ ติดไม่ติดแพทย์ กสพท. วัดจากองค์ประกอบ 2+1 อันได้แก่
1.วิชาเฉพาะ หรือ วิชาความถนัดแพทย์ คือวิชาที่สมัครสอบพร้อมสมัคร กสพท. ใช้เป็นสัดส่วนทั้งหมด 30% โดยประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
1.1 เชาว์ปัญญา เช่น คณิตศาสตร์ อนุกรมเลข อนุกรมภาพ การอ่านจับใจความ เป็นต้น
1.2 จริยธรรมทางการแพทย์ ซึ่งไม่มีสอนในห้องเรียน
1.3 ทักษะการเชื่อมโยง คล้ายๆกับ GAT ที่ก็มีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้างนะคะ
สัดส่วนคะแนนของวิชาความถนัดแพทย์ถือเป็นวิชาที่มีค่าน้ำหนักสูงที่สุด น้องจึงต้องวางแผนและเตรียมตัวให้ดี
2.วิชาสามัญ
คือการสอบที่จัดสอบโดย สทศ. ใช้ 7 วิชา ในสัดส่วน 70% ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)  มีน้ำหนักคะแนน 40% คณิตศาสตร์ 20% ภาษาอังกฤษ 20% ภาษาไทย10% สังคมศึกษา 10% โดยมีเกณฑ์ที่ต้องสอบได้เท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 30 ทุกกลุ่มสาระวิชา
3.O-NET ม.6
ข้อสอบวัดมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียน โดย O-NET จะไม่ได้นำมาเป็นสัดส่วนในองค์ประกอบการคิดคะแนน แต่น้องจะต้องทำคะแนนรวมทุกวิชาไม่ต่ำกว่า 60% ดังนั้นประเภทการสอบนี้ไม่ได้เช่นกัน

เส้นทางสู่การเป็นแพทย์ทหาร



“ผมจะเป็นหมอไปจนวันตาย ไม่ว่าผมจะไปทำอะไรก็ตามแต่ผมจะยังเป็นหมออยู่” 
หมอก้อง-ร้อยเอกนายแพทย์ สรวิชญ์ สุบุญ ตั้งปฏิญาณหนักแน่นที่จะใช้วิชาชีพเพื่อช่วยเหลือสังคม ซึ่งเขาได้รับการบ่มเพาะมาเมื่อครั้งเป็นนักเรียนแพทย์ในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (วพม.) การศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และการฝึกฝนวิชาทหารให้อะไรกับชีวิตผู้ชายคนนี้บ้าง มาฟังจากปากของหมอก้องกันเลย
 
จุดเปลี่ยนจากครูสู่แพทย์ทหารตอนแรกไม่ได้อยู่ในความคิดที่จะเรียนหมอเลย อยากเป็นครู แต่พ่อแม่อยากให้เราเป็นหมอ สมัยนั้นเอนทรานซ์จะใช้คะแนนที่ดีที่สุด คะแนนตัวนี้สามารถนำไปยื่นตรงได้ที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้เลยตั้งแต่แรก ผมไม่ได้อยากไปยื่นแต่พ่อขอไว้ ปรากฏว่าสอบผ่าน เราก็คิดว่าไม่เอา จนพ่อขอร้องด้วยความที่เขาเป็นทหารด้วย ก็ได้มีโอกาสไปคุยกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เตรียมอุดมศึกษา เขาบอกว่าแกมันบ้า สถาบันก็ตั้งของมันอยู่แบบนี้ คนต่างหากที่เดินเข้าไปเอาวิชาความรู้ หลังจากนั้นเราทำได้ดีแค่ไหน ถ้าคิดว่าเราตั้งใจจะทำให้ได้ เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน แล้วแกจะไม่สามารถเป็นลูกกตัญญูทำความดีให้พ่อให้แม่ได้เลยหรอ ผมก็โอ้ ใช่เลย จริงๆ แล้วมันไม่ได้ยากที่จะคิดได้แต่ว่าค่านิยมว่าต้องเรียนที่นั่นที่นี่มันเยอะ
 
เรียนทั้งหมอทั้งทหารคู่กันไปแพทยศาสตร์ พระมงกุฎฯ เป็นโรงเรียนทหาร หมายความว่าชีวิตความเป็นอยู่เป็นทหารอยู่ในค่าย แล้วเอาทหารมาเรียนหมอ วิชาชีพแพทย์ต้องได้ตามหลักเกณฑ์แพทยสภา วิชาทหารต้องได้ตามหลัก จปร. เพราะฉะนั้นต้องเรียนหนักมาก ปีหนึ่งมีการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่เกษตรศาสตร์ เรียกว่าเตรียมแพทย์ครับ พอขึ้นปีสองจนถึงปีหกจะไปเรียนที่ วพม. อนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นการเรียนวิชาแพทย์เหมือนกับที่อื่น แต่ก่อนที่จะขึ้นปีสอง มีช่วงว่างตอนซัมเมอร์ ผมต้องเข้าไปฝึกทหารอย่างเดียวประมาณเกือบสองเดือนครับ ซึ่งถ้าถามว่าฝึกทหารหนักไหม อย่ามองภาพการเรียน รด. เพราะเทียบไม่ได้ ให้มองภาพของการเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. และถ้าถามว่ามีความลดเหลื่อมกันไหม เป็นแพทย์ 100% และเป็นทหาร 100% เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหนักทั้งสองอย่าง เพียงแต่ว่ามีการแบ่งเวลาที่ชัดเจน เข้ามาตอนแรกต้องปรับทั้งสภาพร่างกาย จิตใจ ที่สำคัญคือระเบียบวินัย พอผ่านช่วงนี้ไปได้แล้ว สิ่งที่อยู่ติดตัวเราไปโดยอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามคือระเบียบวินัยและวินัยทหาร ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด

“วิ่งรุ่น ซื้อชุด ขุดกระบี่”
 
พวกผมต้องใส่เครื่องแบบทหารในการเรียน เครื่องแบบทหารมีชุดขาวใหญ่ที่เห็นกันตามงาน ซึ่งนานๆ จะใช้สักที เรียกว่า ชุด ก. ชุดเขียวเรียกว่า ชุด ข. มีเครื่องแบบ ชุด ค. และชุดนักเรียนทหาร ทั้งหมด 4 ชุด “วิ่งรุ่น” เป็นประเพณีทางทหาร หมายความว่าเวลาเราเข้าไปที่ใหม่เขาจะมีการนับรุ่นใช่ไหมครับ วพม. รุ่น 28 ของผมไม่ได้มาด้วยความง่ายดายแต่แลกด้วยเหงื่อและหยดน้ำตา เราวิ่งรอบโรงพยาบาลโดยใส่ชุดฝึก รองเท้าคอมแบทจัดเต็ม แล้ววิ่งแถว 10 รอบ ระหว่างทางวิ่งๆ อยู่โดนพี่สั่งหมอบ วิดพื้น พอวิ่งรุ่นจนได้รุ่นแล้ว ภายในคืนนั้นประมาณตีสี่เราจะถูกปลุกขึ้นมาเพื่อ “ซื้อชุด” ทั้ง 4 ชุด อย่างเช่น ชุด ก. เป็นชุดใหญ่สุด ขอแลกด้วย 300 ยก อาจจะวิดพื้น 10 ยก 10 ยก คือ 20 ครั้ง จนกว่าจะครบ 300 ยกครับ พอผ่านช่วงนั้นมาได้แล้วทำให้เรามีความรักกันหมู่เพื่อนพ้อง รุ่นพี่รุ่นน้อง รักในสถาบัน ที่สำคัญทำให้เรามีความรักในการเป็นทหาร หลังจากที่เราได้รุ่น ซื้อชุด กระบี่ครบแล้ว จะมีการจัดฉลองให้เราด้วยพิธีลอดซุ้มกระบี่ รุ่นพี่ทุกคนที่ซ่อมเราจะใส่เครื่องแบบเต็มและถือซุ้มกระบี่ให้เดินลอดออกมา วันนี้ยังเป็นวันแรกที่เราจะได้เจอพ่อแม่หลังจากไม่ได้เจอสองเดือน เลยมีความประทับใจและภูมิใจว่า ไอ้ที่เราว่าเหนื่อยว่าหนักในการฝึกทหารก็ผ่านมาแล้วอย่างไม่ยากเลย

ออกค่ายลงชุมชน
กิจกรรมเวชศาสตร์ทหารและชุมชน เป็นการลงชุมชนเพื่อทำวิจัย เพราะว่าการจะจบแพทย์ต้องมีการวิจัยและศึกษาชุมชน ลงไปเพื่อตรวจคนไข้ตั้งแต่ปีสองถึงปีหก แต่ว่าหลักสูตรเปลี่ยนไป อย่างเช่นปีสองลงไปวิจัยชุมชนขั้นต้น ปีสามไปวิจัยต่อยอด ต้องคลุกคลีกับชุมชนเป็นอาทิตย์ ผมไปที่ จ.ฉะเชิงเทรา และปีสี่-ปีห้าเป็นการลงชุมชนภายใต้วิชาเวชศาสตร์ครอบครัว ลักษณะการทำงานใกล้เคียงกัน
พอปีหกจะเรียนเวชศาสตร์ทหารในสนามรบ คือจำลองสถานการณ์ว่าอยู่ในสนามรบ รับข้อความทางวิทยุ เราจะอยู่ในที่ตั้ง ข้างหน้าเขาก็รบกันไป จะมี ว. มาบอกว่าตอนนี้มีคนเจ็บโดนระเบิดอยู่ที่ตำแหน่งนี้ให้เราไปรับ พวกเราถูกฝึกให้ไปเอง อ่านแผนที่ ดูเข็มทิศ พิกัดอยู่ตรงไหน เดินเท้า 4-5 กิโล แบกเป้สนามที่เป็นเปลผ้าแบบสองคนยกไปที่ตำแหน่งนั้นให้ได้ พอไปเจอคนไข้เราต้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วแบกกลับมาที่ตั้งให้การรักษาต่อ ถ้าไม่ไหวส่งต่อเข้าโรงพยาบาลใหญ่อะไรแบบนี้ครับ

สิ่งสำคัญในการเป็นแพทย์ทหาร
ขอพูดรวมดีกว่า ไม่ใช่เฉพาะแพทย์ทหารแต่เป็นแพทย์ทั้งหมดทั่วประเทศ ผมขอน้องที่ดีก่อน ผมขอคนดีก่อน จะเก่งจากไหนผมไม่สน เพราะว่าคนดีเอามาฝึกให้เก่งทีหลังได้ แต่คนเก่งแล้วเห็นแก่ตัวทำประโยชน์ให้กับใครไม่ได้ ยิ่งพอเป็นหมอแล้วเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบ มันคือชีวิตของคนได้เลยนะ พูดจากประสบการณ์ที่เห็นรุ่นน้องดูแลคนไข้ครับ
             

เคสที่ประทับใจที่สุด

เยอะนะครับ แต่ว่าถ้าถามถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจที่สุด ปี2 ปี3 เขาเรียกว่าปีพรีคลินิก คือเป็นการเรียนวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ปี 4 ปี 5 จะเป็นการเรียนชั้นคลินิกคือเจอคนไข้ พอปี 6 ถือเป็นหมอย่อมๆ คนหนึ่งเรียกว่าเป็นเอสเทิร์น ก็จะมีการปฏิบัติงานละเราก็จะวนไปตามวอร์ดต่างๆ เคสที่ประทับใจที่สุดมันมากจากเคสที่ผมไม่ได้ตั้งใจอะไรมากมายเป็นเคสทำคลอดครับ ตอนนั้นอยู่เวรห้องคลอด ก็ปกติแล้วเนี่ยต้องเล่าให้ฟังว่าภาพการอยู่เวรห้องคลอดเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก วันทั้งวันเราก็จะอยู่ในห้องและคนที่เขาจะคลอดมันไม่ใช่เหมือนเป็นหวัดที่มาถึงหมอเป็นหวัดจ่ายยากลับบ้าน เขาก็จะมาแบบปวดท้องซึ่งคำว่าปวดแต่ละคนไม่เหมือนกันอีกนะครับ ลักษณะห้องคลอดเป็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาก็จะเป็นเตียงวางกันเป็นแถบๆ อีกด้านหนึ่งก็จะเป็นเคาน์เตอร์ทีเราอยู่ เตียงสมมติว่าสมัยนั้นน่าจะมีสัก 8 เตียง ก็นอนกันไป หน้าที่ของเราในลักษณะของคนที่จะคลอดคือท้องมันจะแข็ง คำว่าท้องแข็งคือมดลูกมันจะบีบตัวมากขึ้น เพื่อให้ลูกออกพูดง่ายๆ นะครับ มดลูกพอมันบีบปุปมันจะเรียกว่าเท่าไหร่ถึงจะคลอดได้ก็คือต้องดูที่ปากมดลูกถ้ามันเปิดสุดเมื่อไหร่พร้อมคลอด เปิดสุดคือ 10 ซม. บางคนมานอนปวดอยู่เป็นวันกว่ามันจะเปิดครบ แต่เคสคนไข้เคสนี้มานอนอยู่เกือบวัน เกือบ 24 ชม. เพราะว่าผมจำได้คือเวลาเราเข้าเวรเราเข้า 24 ชม. ก็นอนร้องปวดเดี๋ยวมันก็ปวดเยอะเดี๋ยวมันก็ปวดน้อยอะไรแบบนี้ หน้าที่ของเราคือการไปจับท้อง เขาเรียกว่า จับcontraction แปลว่าการบีบตัว ว่ามดลูกบีบตัวครั้งนี้นานกี่นาทีแล้วหายไปนานเท่าไหร่ และความแข็งของการบีบตัวเท่าไหร่ซึ่งมันสำคัญ ถ้าบีบเยอะไป บีบถี่ไปมดลูกแตกได้ หรือถ้าบีบห่างไปเราต้องเร่งยาเพิ่มเพื่อที่จะทำให้การบีบตัวดีขึ้นไม่งั้นมันไม่คลอดซะที ทุกครั้งที่มดลูกบีบตัวจะเจ็บมากฟังจากเสียงร้องแล้วเจ็บมาก ทรมานมาก แล้วก็จะได้ยินบ่อยมากเลยว่าจะไม่เอาอีกแล้ว มันก็เลยเกิดเป็นความเคยชินสำหรับตัวเราว่ามันก็ร้องแบบนี้ ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย สนใจแค่ว่าเดี๋ยวเราจะไปตรวจว่าปากมดลูกเปิดเท่าไหร่ ทุกกี่ชั่วโมง ตามคำสั่ง ตามหลักการเท่านั้นเอง
สุดท้ายแล้วปากมดลูกเปิดหมดแล้วเข้าห้องคลอดได้ ผมทำคลอดเอง มันเป็นเคสทำคลอดธรรมชาติที่ไม่ต้องผ่าทำได้อยู่ละ ก็ทำคลอดปกติ ตอนที่อยู่ในห้องคลอด มันไม่ใช่ว่าจะออกได้เลยอีก คือถึงแม้ปากมดลูกเปิดหมด มันต้องมีการเบ่ง และเราก็เชียร์เบ่งกันหน้าดำหน้าแดง ซึ่งมันรูทีนทุกเคสทำมาเป็นสิบๆ เคสก็เหมือนกันหมด จนคลอดออกมาแล้วต้องบอกว่าเคสนั้นเลือดเยอะมากเลย จำภาพได้เลย พอลูกออกมาปุป เด็กออกมายังไม่ร้องนะครับ มันต้องมีการดูดก่อน และก็มีตัดสายสะดือ เราก็ทำตามรูทีนว่าพอตัดสายสะดือปุป ก็บอกว่าเดี๋ยวหมอไปดูเด็กก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเอามาให้คุณแม่อุ้ม เราทำคลอดที่ปลายเท้าแล้วก็มาคุยกับเขาและเราก็ไปที่ตู้อบเด็ก และเราก็ไปจัดการเด็กตรงนั้น จัดการเด็กก่อนแม่ทิ้งได้แล้วค่อยๆ ให้รกมันหลุดตัวมา แต่สายตาเขามองลูกเขาตลอดเวลา มองแบบไม่ไปไหนเลย ที่ร้องมาตลอดทั้งวันเงียบกริบเลยคือไม่เจ็บแล้ว สุดท้ายเช็ดตัวเด็กเสร็จ มาให้คุณแม่อุ้มเป็นไงครับได้ลูกผู้หญิงผู้ชายนะ น้องคนนั้นลูกผู้ชาย ผมก็บอกว่าได้ลูกผู้ชายนะครับเป็นไงหน้าเหมือนพ่อเหมือนแม่หรือเปล่า เขาก็ร้องไห้ คือภาพมันชัดมาก(น้ำตาคลอ) เขาบอกว่ามันเป็นร้องไห้ที่มีรอยยิ้มและเป็นการร้องไห้ที่มีความสุขและเขาก็บอกเราว่าคุณหมอขอบคุณมากนะคะ ที่ทำให้เขาได้เจอกับเทวดาตัวน้อยของเขาที่รอมาตั้ง 9 เดือน ทีนี้เขาก็บอกว่าขออนุญาตเอาชื่อคุณหมอมาตั้งเป็นชื่อลูก โอ้โห ผมเลยแบบทำอะไรไม่ถูกอ่ะ ณ ตอนนั้นจริงกว่าตอนนี้อีก คือมันมีความรู้สึกเหมือนกับว่านึกถึงแม่ว่าแม่เราคงรักเราไม่ต่างกัน วันนั้นอยากกลับไปกอดแม่ เหมือนกับว่าเราเห็นถึงความเจ็บปวดของคนไข้เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ได้คิดอะไร แต่เคสนี้มันทำให้เราฉุกคิดว่า ปวดแค่ไหนแต่แค่เห็นลุกมันหายปวดหมดเลย มันไม่เจ็บไม่ปวดอีกเลย แล้วก็ภูมิใจที่เขาเอาชื่อเราไปตั้งเป็นชื่อลูกเขาเลยนะ มันภูมิใจครับ เหมือนกับว่าคนเป็นหมอแค่นี้อยู่ได้ละ สำหรับผมนะแล้วตั้งแต่วันนั้นมันทำให้เรารู้สึกเลยว่าผมจะเป็นหมอไปจนวันตาย ไม่ว่าผมจะไปทำอะไรก็ตามแต่ผมก็จะยังเป็นหมออยู่ มันสุดยอด
แนะรุ่นน้องสู่ใต้ร่มอินทนิลถามตัวเองให้ดีๆ ก่อนดีกว่า ตอนแรกน้องจะบอก จะอยาก จะคิด จะฝัน มันได้หมด ความชอบของตัวเองมันนำมาก่อน ใช่ แต่ความสามารถของตัวเองเราได้ไหม ถ้าคิดว่าเรียนได้และมีความตั้งใจก็ไปเลยครับ ต้องมีความมุ่งมั่นและเป้าหมายว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร ผมมีความเชื่ออยู่เสมอว่าแอดมิชชั่นไม่ยาก ถ้าเรารู้จักตัวตนของเราดีและมีการเตรียมพร้อมที่ดีครับ คนเก่งแพ้คนที่เตรียมพร้อมดี
การสอบเข้าพระมงกุฎฯ คงเหมือนกับแพทย์ที่อื่นทั่วไปคือต้องสอบผ่านแอดมิชชั่น แต่แตกต่างที่น้องต้องเป็นทหารด้วย เพราะฉะนั้นใจสู้หรือเปล่า ไม่ได้ขู่นะครับ เพราะคนที่บอกว่ามันยากเหลือเกินก็คือยากเหลือเกิน แต่สำหรับคนที่บอกว่าก็แค่วิชาทหารไม่มีอะไรเลย สนุกจะตายก็คือสนุกจะตาย แต่ร่างกายต้องพร้อมนะครับ อย่าลืมว่าการเรียนแพทยศาสตร์ พระมงกุฎฯ มีหมวกสองใบ เป็นทั้งหมอเป็นทั้งทหารด้วย เพราะฉะนั้นน้องต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าแน่นอน

 
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นสถาบันผลิตแพทย์ทหารแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย เพื่อจัดสรรแพทย์ทหารให้แก่เหล่าทัพต่างๆ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ในการให้ความช่วยเหลือกำลังพล ครอบครัว ตลอดจนประชาชนที่อยู่ห่างไกลหรือพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งเป็นการบรรเทาการขาดแคลนแพทย์ในกองทัพ และในชนบทของประเทศได้เป็นอย่างดี
การสอบคัดเลือกบุคคลผ่านระบบรับตรง แบ่งเป็นประเภททุนกองทัพบก มีสถานภาพเป็นนักเรียนแพทย์ทหาร และประเภททุนโครงการผลิตแพทย์เพิ่ม มีสถานภาพเป็นนักศึกษาแพทย์

แนวทางการศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์ เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าคณะนี้เป็นวิชาชีพ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการ ตรวจวินัจฉัยโรค การบำบัดโรค การป้องกันโรค การเยี่ยวยารักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ เป็นแขนงอาชีพที่ต้องใช้ทักษะ และความรู้อย่างสูง ผู้ที่จบคณะแพทยศาสตร์แน่นอนว่าจะมีความสามารถ ในการปฏิบัติงานทางการแพทย์ และสาธารณสุข และยังสามารถป้องกัน และแก้ไขปัญหาสุขภาพของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี การศึกษาทางด้านแพทยศาสตร์ มีการศึกษาเฉพาะทางอีกหลากหลายสาขา และแต่ละสาขาก็ยังแบ่งย่อยออกไปอีกมากมาย หลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตใช้ระยะเวลาในการศึกษาตามหลักสูตร 6 ปี ดังนั้นผู้ที่สนใจเรียนคณะนี้ สิ่งสำคัยที่ขาดไม่ได้คือ ต้องมีจิตใจที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เห็นคุณค่าของมนุษย์เท่าเทียมกันทุกคน และมีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม
 
 สาขาที่เปิดสอน

ภาควิชากายวิภาคศาสตร์
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
ภาควิชาจุลชีววิทยา
ภาควิชาจักษุวิทยา
ภาควิชาชีวเคมี
ภาควิชานิติเวชศาสตร์
ภาควิชาปรสิตวิทยา
ภาควิชาพยาธิวิทยา
ภาควิชาเภสัชวิทยา
ภาควิชารังสีวิทยา
ภาควิชาวิสัญญีวิทยา
ภาควิชาเวชศาสตร์ชันสูตร
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
ภาควิชาศัลยศาสตร์
ภาควิชาสรีรวิทยา
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
ภาควิชาออร์โธปิดิกส์
ภาควิชาอายุรศาสตร์
 คุณสมบัติผู้เข้าศึกษา

สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมตอนปลาย (ม.6) หรือเทียบเท่า และมีคุณสมบัติตามระเบียบการสอบคัดเลือกของทบวงมหาวิทยาลัยหรือตามระเบียบของโครงการพิเศษของมหาวิทยาลัย หรือตามระเบียบของโครงการพิเศษที่คณะฯ ดำเนินการสอบคัดเลือกเองและต้องมีคุณสมบัติที่จะสามารถเข้ารับราชการได้ หลังจากจบการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี ทั้งนี้หากไม่รับราชการหรือไม่ทำงานตามที่กำหนดจะต้องชดใช้เงินแก่มหาวิทยาลัย และมีใจรักและชอบที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนมนุษย์ อย่างเท่าเทียมกันทุกคน
 
 แนวทางการประกอบอาชีพ แนวทางการเรียนต่อ

การศึกษาในคณะแพทยศาสตร์นั้นมีค่าใช้จ่ายในอัตราที่สูงมากผู้เรียนส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนดังนั้นเมื่อเรียนจบจึงจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามสัญญาของทางราชการเป็นเวลา 3 ปี เพื่อชดใช้ทุน (ยกเว้นผู้เข้าศึกษาในสถาบันของเอกชน) หลังจากปฏิบัติงานเพื่อชดใช้ทุนแล้วแพทย์ที่มีความต้องการศึกษาต่อก็สามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือศึกษาทางการแพทย์เฉพาะทางได้
 
 สถาบันที่เปิดสอน

มหาวิทยาลัยมหิดล

คณะแพทยศาสตร์พระบรมราชชนก 
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยรังสิต วิทยาลัยแพทยศาสตร์
วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุขมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
สำนักวิชาแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

ข้อมูลอาชีพแพทย์

1. สภาพแวดล้อมในการทำงาน

สถานที่ทำงาน 
คุณหมอส่วนใหญ่จะทำงานในโรงพยาบาลซึ่งแบ่งออกเป็นแผนกต่างๆ แล้วแต่ว่าจะทำงานในส่วนไหน ในกรณีที่เป็นการตรวจโรคทั่วไปการทำงานของหมอจะอยู่ในห้อง มีโต๊ะทำงานที่ใช้สำหรับตรวจและพูดคุยกับคนไข้ มีพยาบาลและผู้ช่วยคอยเป็นลูกมือในการทำงาน บรรยากาศก็จะเป็นการพบปะและสอบถามข้อมูลการรักษาคนไข้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละราย มีการทำงานที่มีการพูดคุยเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีและไม่ทำให้เกิดสภาวะกดดันในการปฏิบัติหน้าที่  เมื่อทราบผลว่าผู้ไข้ป่วยเป็นอะไรก็จะส่งเรื่องไปตรวจยังแผนกต่างๆตามการรักษา   ซึ่งห้องทำงานของคุณหมอในแผนกต่างๆก็จะไม่เหมือนกัน ซึ่งแผนกต่างๆในโรงพยาบาลสามารถแบ่งได้ดังนี้ 
  • อายุรแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุของบุคคลศาสตร์
  • สูตินรีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา
  • ศัลยแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม
  • ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยกรรมกระดูกและข้อ)
  • จักษุแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา
  • จิตแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์
  • แพทย์โสตศอนาสิก - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตศอนาสิกวิทยา
  • พยาธิแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน (พยาธิวิทยา)
  • รังสีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา
  • วิสัญญีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสัญญีวิทยา
  • กุมารแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์
  • แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชปฏิบัติครอบครัว
  • แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู
  • แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
สภาพการทำงาน 
สภาพการทำงานของคุณหมอในโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลรัฐบาล และโรงพยาบาลต่างจังหวัด จะมีสภาพการทำงานที่แตกต่างกัน  
  1. โรงพยาบาลรัฐบาล คนไข้ค่อนข้างเยอะทำให้มีเวลาในการรักษา หรือ ดูแลคนไข้ในแต่ละรายค่อนข้างน้อยเพื่อให้การรักษามีความทั่วถึง จึงเห็นได้ว่าแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐบาลจะมีภาระหน้าที่รับผิดชอบเยอะ และได้แสดงศักยภาพทางการทำงานอย่างเต็มที่ มีการแบ่งหน้าที่ในการรักษาอย่างชัดเจนตามแผนกต่างๆ  งบประมาณการทำงานต่างๆจะขึ้นอยู่กับรัฐบาล 
  2. โรงพยาบาลเอกชน  คนไข้น้อยกว่าเนื่องจากค่าใช้จ่ายในแต่ละครั้งค่อนข้างสูง มีการแบ่งหน้าที่ในการรักษาอย่างชัดเจนเช่นกัน  จะมีเรื่องงานบริการเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะต้องดูแลคนไข้แต่ละรายอย่างใกล้ชิด มีเวลาอยู่กันคนไข้ค่อนข้างมาก จึงต้องมีจิตวิทยาในการพูดคุยกับคนไข้และญาติ ยกตัวอย่างเช่น หมอเด็กนอกเหนือจากการรักษาคนไข้แล้ว ยังต้องมีจิตวิทยาในการพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กให้เข้าใจในเรื่องการรักษาด้วย  
  3. โรงพยาบาลต่างจังหวัด ส่วนใหญ่มีหมอรักษาการน้อย โดยเฉพาะต่างจังหวัดในอำเภอเล็กๆหรือห่างไกล คุณหมอหนึ่งท่านจะต้องรักษาคนไข้ได้ในหลากหลายอาการ และอาจมีหน้าที่นอกเหนือจากการเป็นหมอคือดูแลสิ่งที่ขาดเหลือในโรงพยาบาล ยกตัวอย่างเช่น แพทย์หญิง อนงค์พร ต้องไปรักษาการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล มีหมอประจำการเพียงสองคน ทำให้ต้องมีการผลัดกันเข้าเวรคนล่ะ 15 วันต่อเดือน และโรงพยาบาลแห่งนั้นยังไม่มีโรงอาหารเป็นสัดส่วน จึงต้องทำงบประมาณเพื่อสร้างโรงอาหารให้กับทางโรงพยาบาล การทำงานจะมีความท้าทายและต้องสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดี เพราะจะมีปัญหาในเรื่องของเครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ คนไข้ที่อาการหนักเกินกว่าจะรักษาในโรงพยาบาลได้ ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี 
ประเภทของลูกค้า
ประเภทของคนไข้ที่เจอจะแตกต่างกันระหว่าง โรงพยาบาลรัฐบาล โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลต่างจังหวัด 
  1. โรงพยาบาลรัฐบาล  จะได้พบกับคนไข้ที่หลากหลายระดับ ตั้งแต่ยากจนที่สุด ไปจนถึงร่ำรวยมีฐานะที่สุด  แต่ต้องมีการให้บริการทางการแพทย์ที่เท่าเทียมกันทุกคน จำนวนคนไข้ในแต่ละวันมีปริมาณที่มาก คนไข้จะต้องรอคิวเพื่อรับการรักษาเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นคุณหมอต้องเป็นคนใจเย็นไม่มีอารมณ์ด้านลบในระหว่างการทำงาน  
  2. โรงพยาบาลเอกชน  คนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีฐานะทางการเงินตั้งแต่ระดับปานกลางขึ้นไปจนถึงระดับสูง                นอกเหนือจากจะต้องรักษาดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดแล้วยังต้องมีการให้บริการที่ดีและการเอาใจใส่กับทั้งคนไข้และญาติของคนไข้
  3. โรงพยาบาลต่างจังหวัด  คนไข้ในโรงพยาบาลต่างจังหวัดจะค่อนข้างมีความเกรงใจและเห็นความสำคัญของคุณหมอมาก มีความเป็นกันเองและหยิบยื่นน้ำใจต่างๆให้คุณหมอ เนื่องจากมีหมอน้อยทำให้คุณหมอต้องทำงานหนักในหลายๆส่วน  ทำให้บรรยากาศการทำงานระหว่างคุณหมอกับคนไข้ไม่ตึงเครียด มีความใกล้ชิดและสนิทสนมกัน 
ลูกค้าของคุณหมอจากทั้งโรงพยาบาลรัฐบาล โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลต่างจังหวัด คือคนไข้ที่คุณหมอจะต้องให้การรักษาอย่างเท่าเทียมกันนอกจากนั้นยังรวมไปถึงญาติของคนไข้ที่คุณหมอต้องเอาใจใส่ในเรื่องของสภาพจิตใจ เพราะคนไข้บางรายอาจป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย หรือ ร้ายแรง สภาพจิตรใจของญาติผู้ป่วยก็มีผลต่ออาการของคนไข้เช่นกัน 
อาชีพนี้ต้องทำงานร่วมกับอาชีพ/ตำแหน่งงานใดบ้าง
คุณหมอจะมีการส่งต่องานระหว่างหมอด้วยกันเองตามอาการของโรค แพทย์ที่ตรวจโรคทั่วไปจะส่งต่อคนไข้ไปที่แพทย์เฉพาะทางของโรคนั้นๆ  ระดับการส่งต่องานของคุณหมอตามความยากง่ายของอาการก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การทำงานของคุณหมอด้วย  นอกจากนั้นยังต้องทำงานร่วมกับ แพทย์ผู้ช่วย พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล หากมีการผ่าตัด จะต้องมีหมอดมยา หากต้องส่งชิ้นเนื้อไปตรวจจะต้องส่งไปที่ ทีมวิจัย  จะมีการส่งต่องานเสมอแล้วแต่ว่าต้องทำขั้นตอนอะไรต่อ ซึ่งมีมากมายตามอาการของโรคนั้นๆ  

2. คุณลักษณะของงาน

เป้าหมายของงาน / โจทย์ใหญ่ของงาน /ความท้าทายของงาน 
แพทย์แบ่งออกเป็นหลากหลายแขนงมากตามอาการของโรค ซึ่งทุกแขนงมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และมีจุดประสงค์หลักเดียวกัน คือการได้ใช้ความรู้ความสามารถรักษาคนไช้ให้หายขาดหรืออาการดีขึ้นจากเดิม                                     โดยผ่านกระบวนการวินิจฉัยและหาหนทางการรักษา ซึ่งสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการรักษาชีวิตของคนไข้ให้ได้นานที่สุดไม่ว่าจะวิธีทางการแพทย์หรือในเรื่องของกำลังใจที่ให้คนไช้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
Work process 
ขั้นตอนการทำงานของอาชีพหมอคือ 
  1. พูดคุยเพื่อสอบถามอาการของคนไข้ มีการตรวจเบื้องต้นว่าป่วยเป็นโรคอะไร 
  2. เมื่อทราบอาการแล้ว หากเป็นอาการป่วยที่สามารถรักษาได้ทันที  คุณหมอจะจ่ายยา และบอกถึงวิธีการที่คนไข้จะดูแลตัวเองหลังจากกลับบ้าน แต่หากเป็นอาการที่ต้องรักษาต่อก็จะส่งต่องานไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตามอาการนั้นๆ 
  3. หากเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญ ในตอนเช้าก็เดินจะตรวจดูอาการของคนไข้ในความดูแลทุกๆคนว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง 
  4. นำผลที่ได้มาวินิจฉัยเพื่อจะดำเนินการรักษาต่อในขั้นตอนต่อไป ซึ่งคนไข้บางรายอาจใช้เวลารักษานานหลายปีกว่าจะหายขาด 
  5. นอกจากนี้ก็จะมีการแบ่งตามหน้าที่ความรับผิดชอบของคุณหมอตามแผนกต่างๆซึ่งมีการทำงานที่ไม่เหมือนกัน คุณหมอที่มีหน้าที่ตรวจชิ้นเนื้อ ฉายรังสี  ผ่าตัด จ่ายยา การทำงานในแต่ละวันก็จะขึ้นอยู่กับว่าเป็นคุณหมอแผนกไหน   
  6. ยังมีในเรื่องของการเข้าเวร ที่ต้องทำงานเกินเวลาจากเดิม และ เหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจถูกเรียกตัวเข้ามาปฏิบัติหน้าที่นอกเวลางาน ซึ่งคุณหมอต้องมีความพร้อมเสมอ 
Career path/ความก้าวหน้าของสายอาชีพ 
ความก้าวหน้าของอาชีพหมอจะมาจากอายุการทำงาน เพราะจะเป็นระบบเดียวกับข้าราชกาล คือมีการเลื่อนขั้นตาม ซี เมื่อมีอายุการทำงานและประสบการณ์มากขึ้น ตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบก็จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถรักษาโรครักษาและวินิจฉัยอาการที่ยากของคนไข้ได้ นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของวิชาการ คือ การเรียนต่อในระดับปริญญาโท และ เอก เพื่อเพิ่มเติมความรู้ในเชิงลึกของการรักษาในแขนงนั้นๆ   
บุคลิก นิสัยของคนที่เหมาะจะทำอาชีพนี้ 
  1. คุณหมอต้องเป็นคนใจเย็นเพราะต้องทำงานกับคนไข้ที่มีทั้งความกังวลใจไม่สบายใจ                                            คุณหมอจำเป็นต้องมีวิธีการพูดคุยและให้การรักษาอย่างเข้าใจมากที่สุด 
  2. มีน้ำใจเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี  มีจิตวิทยาในกรรักษาและการพูดเพื่อหาทางออกและสร้างความสบายใจให้กับคนไข้ 
  3. เป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา เพราะมีโรคใหม่ๆ เทคโนโลยีและการรักษาใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา 
  4. มีทักษะความรู้ที่ดีสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีมาก เพราะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดอยู่ตลอดเวลา เช่นคนไข้ช๊อค การผ่าตัดมีการผิดพลาด เลือดไหลไม่หยุด ต้องมีคนที่มีสติและคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 
  5. ต้องมีความกล้าในทุกๆอย่าง กล้าตัดสินใจ กล้าลงมือทำ ไม่กลัวเข็ม ไม่กลัวเลือด อุปกรณ์การแพทย์ต่างๆหรืออวัยวะต่างๆในร่างกาย เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องพบเจอในทุกๆวัน 

3. คุณค่าและผลตอบแทน

ผลตอบแทน 
ในเรื่องของระบบเงินเดือนนั้นหากเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ จะมีระดับเงินเดือนตามขั้นโดยข้าราชการพลเรือนมีระดับขั้นตั้งแต่ ซี 1 ถึง ซี 11 ซึ่งแต่ละระดับก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน   โดยแพทย์เริ่มต้นจะได้รับบรรจุเป็น ซี 4 ซึ่งมีขั้นเงินเดือน 8,190 บาท ในแต่ละซี จะมีขั้นเงินเดือนหลายๆขั้นเป็น 10 ขั้น เช่น ซี 1 มีขึ้นเงินเดือนต่ำสุดคือ 4,100 บาท สูงสุดคือ 7,260 บาท ซี 11 ขั้นต่ำสุดคือ 29,690บาท สูงสุดคือ 57,190 บาท ซึ่งตัวเลขต่างๆเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอด  ขึ้นอยู่กับระเบียบของก.พ. หรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำหรับคุณหมอถ้าไม่มีปัญหาอะไรทุกๆปีก็จะได้เลื่อนขึ้นเงินเดือน 1 ขั้น หรือ 2 ขั้นถ้ามีความสามารถ นอกจะนี้ยังมีการเลื่อนซีด้วย บรรจุครั้งแรกเป็นซี 4 แต่เป็นขั้นควบคือควบซี 5 และซี 6 ด้วย ถ้างทำงานครบ 2 ปีเต็ม จะถูกเลื่อนให้เป็นซี 5 โดยอัตโนมัติและถ้าทำงานต่อไปอีก 4 ปีก็จะได้เลื่อนไปเป็นซี  6 เห็นได้ว่าจะเลื่อนตำแหน่งและฐานเงินเดือนขึ้นไปเรื่อยๆตามอายุการทำงาน 
คุณค่าของอาชีพนี้ต่อคนรอบข้างและสังคม 
อาชีพหมอกำเนิดขึ้นเป็นวิชาชีพแรกๆและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นการเกิด   แก่ เจ็บ และ ตาย ต่างต้องอาศัยความรู้ความสามารถทางการแพทย์ทั้งสิ้นและวิชาชีพหมอก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆทั้งในเรื่องความรู้ความสามารถ เทคโนโลยีทางการแพทย์  การค้นคว้าวิธีการรักษาใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยหายขาดจากอาการ เจ็บน้อยลง และย่อระยะเวลาในการรักษาให้สั้นลง วิธีการต่างๆก็เพื่อให้คนในสังคมไม่ทุกข์จากการมีโรคภัยไข้เจ็บ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติจากการได้รับการรักษา โรคภัยเกิดขึ้นได้ทุกวันและเกิดขึ้นได้กับทุกคน อาชีพหมอจึงถือว่าเป็นอาชีพที่มีความสำคัญต่อสังคมเป็นอย่างมาก 

4. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ

วิชาที่จะเรียนในคณะแพทย์ศาสตร์นั้น มีการเรียนการสอนที่แตกต่างกันตามสถาบัน แต่มีวิชาหลักที่เหมือนกันนั้นคือ  ปี 1-3 เรียน Basic science และ Basic medical science
Basic science คือเคมี ชีวะ ฟิสิกส์
Basic medical science เป็นวิชาแพทย์
  • behavior sci เป็นวิชาการจัดการ จิตวิตยา การวิจัย การเข้าใจคนไข้ 
  • anatomy กายวิภาค เป็นสิ่งที่จับต้องได้ทั้งหมด
  • physiology เป็นการทำงานของร่างกาย
  • pathology การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ทำให้เกิดโรค
  • phamacology เรื่องของยาหลักการ การออกฤทธิ์ กลไล ฯลฯ
ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะแบ่งแยกไปตามระบบต่างๆของร่างกาย
  • basic sci เกี่ยวกับเชื้อโรค กลไกการเกิด
  • Integument  ระบบปกคลุมร่างกาย เช่น ผิว ผม เล็บ
  • locomotive ระบบเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ได้แก่กระดูก กล้ามเนื้อ,,,,
  • cardiovascular ระบบหัวใจและหลอดเลือด
  • respi การหายใจ
  • gastro-intestinal ทางเดินอาหาร
  • KUB ทางเดินปัสสาวะ
  • reproductive การสืบพันธ์
  • neurology ระบบประสาท
ปี 4-5 จะเป็น clinical skill คือการเรียนรู้การทำงานจริง และการฝึกกับผู้ป่วยจริง
จะแบ่งออกเป็นแผนกต่างๆดังนั้น
  • OB-gyne สูติ-นรีเวช
  • surgery การผ่าตัด
  • internal medicine การรักษาโดยการใช้ยา
  • pediatric เด็ก
  • orthopedics กระดูกและข้อ
  • ophthalmology ตา
  • ENT หู คอ จมูก
  • Emergency ฉุกเฉิน
  • Anas ดมยาสลบ
  • commed-fammed การดูแลแบบองค์รวม การทำวิจัย
  • psychiatric จิตเวช
  • rehabilitation กายภาพบำบัด
ปีที่ 6  เป็นการเริ่มทำงานจริง ภายใต้การควบคุมก็จะวนไปหลายหลายส่วนหลายๆโรงพยาบาล ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด อาทิตย์ละ 7 วัน วันใหนอยู่เวรก็ต้องอยู่บนโรงบาล 24 ชั่วโมงวันรุ่งขึ้นก็ทำงานต่อ แต่เป็นชั้นปีที่สนุกที่สุดเพราะได้ลงมือปฏิบัติจริง 
ซึ่งการเรียนตามหลักสูตรทั้งหมดนี้นอกจากจะต้องมีความถนัดทางด้านวิชาวิทยาศาสตร์ และต้องเรียนสาย  วิทย์ – คณิต ในชั้นมัธยมปลายแล้ว ยังต้องมีความชอบและสนใจในวิชาย่อยต่างๆด้วย เพราะเนื้อหาการเรียนค่อนข้างเยอะมีการท่องจำ ต้องมีวินัยและความขยันอย่างมากในการเรียน ซึ่งคุณหมอจะเรียนแพทย์ทั่วไป 6 ปี และ แยกเป็นแพทย์เฉพาะทางอีก 3 ปี 

5. เครื่องมือที่ใช้ในอาชีพนั้น

คุณหมอแต่ละคนจะมีเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาโรคแตกต่างกันตามอาการของโรค แต่จะมีสเตตโตสโสป(Stethoscope) หรือ หูฟัง ที่มีไว้สำหรับฟังเสียงผิดปกติในร่างกาย โดยเฉพาะเสียงการเต้นของหัวใจพกไว้ เพื่อใช้ในการตรวจอากาศเบื้องต้นของโรค เป็นเครื่องมือเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของคุณหมอที่คุณหมอทุกคนจะขาดไม่ได้